ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกประเภท
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามความมุ่งหมายและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
และเป็นการวางแผนการประเมินผลให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน
ว่าได้บรรลุตามความมุ่งหมายและจุดประสงค์จริงหรือไม่
เพื่อผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบจะได้รู้และคิดเพื่อแก้ไขปรับปรุงต่อไป
ดังนั้นหลักสูตรที่ดีและเหมาะสมจะต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา
สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และการปกครองของประเทศตลอดจนความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ
ในอดีตนักพัฒนาหลักสูตรจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเป้าหมาย
เนื้อหาและวิธีการสอนของหลักสูตรโดยไม่ค่อยสนใจหรือคำนึงผู้เรียนว่าจะมีความรู้สึกหรือมีผลกระทบอย่างไร
ปกตินักพัฒนาหลักการสูตรจะกำหนดจะกำหนดจุดมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ
และเนื้อหาสาระตลอดทั้งกระบวนการเรียนการสอนก็จะต้องเป็นเรื่องของครูที่จะต้องคิดมาหา
ครูมักจะหาเนื้อเรื่องและวิธีการเรียนการสอนโดยคำนึงว่าผู้เรียนคิดอย่างไร
มีความรู้สึกอย่างไรและมีความต้องการอย่างไร แต่ในปัจจุบันแนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไป
จึงเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะต้องหาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความถูกต้อง
ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับผู้เรียนมากที่สุด
ทั้งนี้ได้มีผู้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
สันต์ ธรรมบำรุง (2527: 92) ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตรไว้ว่าการพัฒนาหลักสูตร (curriculum
development) จะมีความหมายครอบคลุมถึงการสร้างหลักสูตรการวางแผนหลักสูตรการปรับปรุงหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพของหลักสูตรให้ดีขึ้นทั้งระบบ
ตั้งแต่จุดมุ่งหมาย การเรียนการสอน การใช้สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
บุญมี เณรยอด (2531:18) กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
การปรับปรุงโครงการที่ประมวลความรู้และประสบการณ์ทั้งหลาย
เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ดีขึ้นให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมและเพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้
สงัด อุทรานันท์ (2532: 30) กล่าวคำว่า “การพัฒนา” หรือ คำในภาษาอังกฤษว่า “development”มีความหมายที่เด่นชัดอยู่ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก
หมายถึง การทำให้ดีขึ้น หรือ ทำให้สมบูรณ์ขึ้น และอีกลักษณะหนึ่ง หมายถึง
ทำให้เกิดขึ้น โดยเหตุนี้ ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรจึงอาจมีความหมายได้ 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน คือ ความหมายแรก หมายถึง
การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้น และอีกความหมายหนึ่งก็ คือ
เป็นการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานอยู่เลย
หัทยา เจียมศักดิ์ (2539: 12) ให้ความหมายว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ต่าง
ๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมหรือดียิ่งขึ้น
สวัสดิ์ จงกล (2539: 19) ได้ให้ความหมายว่าการพัฒนาหลักสูตร คือ
การเกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ต่างๆเพื่อให้เกิดความเหมาะสมหรือดียิ่งขึ้น
จากการที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร
หมายถึง การปรับ แต่ง เสริม เติมต่อ
หรือการดำเนินงานอื่นๆเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
1.
การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น เป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียนจุดมุ่งหมายของการสอน
วัสดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล (Good)
2.
การสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลยโดยจัดให้เหมาะกับความต้องการของบุคคล
และสภาพสังคม (Saylor and Alexander)
การพัฒนาหลักสูตร
วิชากาพัฒนาหลักสูตรและการจัดการกระบวนกาเรียนรู้
ปรัชญาคืออะไร
ปรัชญา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้
ความจริงของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ และชีวิตอย่างลึกซึ้ง
เพื่ออธิบายเหตุการณ์
และสิ่งต่าง ๆ โดยใช้หลักการของเหตุผลในวิชาตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงความจริงหรือความรู้ที่แน่นอน
สาขาของวิชาปรัชญา
สาขาปรัชญาแบ่งเป็น 3 สาขา คือ
อภิปรัชญา คือ วิชาที่ว่าด้วยความจริงสูงสุด
ญาณวิทยา คือ วิชาที่ว่าด้วยวิธีการหาความรู้
หรือทฤษฎีความจริง
คุณวิทยา คือ วิชาที่ว่าด้วย คุณค่า ความดี
ความงามแยกเป็น 3 สาขา คือ
ตรรกวิทยา
เป็นเครื่องมือของวิชาปรัชญา เป็นวิชาที่ว่าด้วยหลักเหตุผล การใช้เหตุผล
ปรัชญามีประโยชน์อย่างไร ?
วิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ เช่น เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ
คณิตศาสตร์ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา แต่เพราะความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ปรัชญากับวิทยาศาสตร์จึงต้องทำงานแยกจากกัน
เรารู้ว่า
วิทยาศาสตร์ช่วยทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก
และเทคโนโลยีด้านต่าง
ๆ มากมาย แล้วงานของปรัชญาล่ะ ปรัชญาให้อะไรกับเราบ้าง ? หลายคนอาจคิดว่า ปรัชญาเป็นสิ่งที่ลึกลับ ล้าสมัย แต่ความเป็นจริงแล้ว
ปรัชญานั้น ไม่ล้าสมัยและสอดแทรกอยู่ในทุกสิ่งในโลก
หัวข้อข่าวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก
ล้วนไม่พ้นคำถามในเชิงปรัชญา เพราะปัญหา ถ้าเราจะแก้ให้ตรงจุด
เราต้องมองปัญหาอย่างละเอียด ลึกซึ้ง รอบด้าน และรอบคอบ
ตรงนี้เป็นวิธีการมองปัญหาของนักปรัชญาอยู่
แล้ว เรามาดูกันว่า
เหตุการณ์ที่ต้องตั้งคำถามขึ้นมานั้น มีอะไรบ้างที่เด่น ๆ
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism)
ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism)
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism)
ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)
ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism)
ความหมายของหลักสูตร
ในแวดวงนักศึกษาผู้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้มากมาย
โดยไม่สามารถทำให้ทุกคนเห็นพ้องกับความหมายใดเพียงความหมายเดียว
เพราะหลักสูตรเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแต่อาจแบ่งกลุ่มความหมายของหลักสูตรได้เป็น
3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มความหมายที่เน้นถึงเนื้อหาสาระที่จะต้องเรียนรู้
2) กลุ่มความหมายที่เน้นความหมายสำคัญของจุดหมายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน
และ 3) กลุ่มความหมายที่เน้นกระบวนการที่จะพัฒนาผู้เรียน
กาญจนา คุณารักษ์(2535 : 1-4) ได้รวบรวมความหมายหลักสูตรไว้ดังนี้
1.
หลักสูตร คือ รายวิชาหรือรายการเนื้อหาที่สอนโรงเรียน
จากที่กล่าวมาแล้วสามารถสรุปได้ว่า
หลักสูตร หมายถึงมวลประสบการณ์ความรู้ต่าง ๆ ที่จัด
ให้ผู้เรียนทั้งในและนอกห้องเรียน
ซึ่งมีลักษณะเป็นกิจกรรม โครงการหรือแผน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียน
ได้พัฒนาและมีคุณลักษณะตามความมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้
ความสำคัญของหลักสูตร
นักการศึกษาหลายท่านได้แสดงทัศนะและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับความสำคัญของหลักสูตรว่าหลักสูตรมีความสำคัญอย่างไรต่อการจัดการศึกษา
ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าหลักสูตรมีความสำคัญต่อการกำหนดมาตรฐานและคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ทั้งนี้
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนในแต่ละวัยแต่ละระดับการศึกษาได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกันหรือไม่
อย่างไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้เรียนว่าควรเรียนรู้สาระการเรียนรู้อะไร
มีเนื้อหาสาระมากน้อยเพียงใด
จาการศึกษาเอกสารพบว่ามีผู้ที่กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตรไว้โดยสรุป ดังนี้
สันต์ ธรรมบำรุง (2527 : 152) สรุปความสำคัญของหลักสูตรไว้ 9 ประการ คือ
1.
หลักสูตร เป็นแผนปฏิบัติงานหรือเครื่องชี้แนวทางปฏิบัติงานของครู
เพราะหลักสูตรจะกำหนดจุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลไว้เป็นแนวทา
2.
หลักสูตรเป็นข้อกำหนดแผนการเรียนการสอน อันเป็นส่วนรวมของประเทศ
เพื่อนำไปสู่ความมุ่งหมายตามแผนการศึกษาชาติ
3.
หลักสูตรเป็นเอกสารของทางราชการ เป็นบัญญัติของรัฐบาล
หรือเป็นธรรมนูญในการจักการศึกษา เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฏิบัติตาม
4.
หลักสูตรเป็นเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา
เพื่อควบคุมการเรียนการสอนในสถานศึกษาระดับต่างๆ และยังเป็นเกณฑ์มาตรฐานอย่างหนึ่งในการจัดสรรงบประมาณ
บุคลากร อาคาร สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ฯลฯ ของการศึกษาของรัฐแก่สถานศึกษาอีกด้วย
5.
หลักสูตรเป็นแผนการดำเนินงานของผู้บริหารการศึกษา
ที่จะอำนวยความสะดวกและควบคุม
ดูแลติดตามให้เป็นไปตามนโยบายการจัดการศึกษาของรัฐบาลด้วย
6.
หลักสูตรจะกำหนดแนงทางในการส่งเสริมความเจริญงอกงามและพัฒนาการของเด็กตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา
7. หลักสูตรจะกำหนดและลักษณะรูปร่างของสังคมในอนาคตได้ว่า
จะเป็นไปในรูปใด
8.
หลักสูตรจะกำหนดแนวทางให้ความรู้ ทักษะ ความสามารถ
ความประพฤติที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อันเป็นการพัฒนากำลังซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบะสังคมแห่งชาติที่ได้
9.
หลักสูตรจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความเจริญของประเทศ
เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ประเทศใดจัดการศึกษาโดยมีหลักสูตรที่เหมาะสม
ทันสมัย
มีประสิทธิภาพทันต่อเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงย่อมได้กำลังที่มีประสิทธิภาพสูง
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตร
นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ความหมายของหลักสูตรสมบูรณ์
และสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน
การประเมินผล และการปรับปรุงการเรียนการสอนหรือการพัฒนาหลักสูตรได้
องค์ประกอบของหลักสูตร โดยทั่วไปมี 4
องค์ประกอบ
1.
ความมุ่งหมาย (objectives) คือ
เป็นเสมือนการกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษา การจัดการเรียนการสอน
เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาไปในลักษณะต่าง
ๆที่พึงประสงค์อันก่อให้เกิดประโยชน์ในสังคมนั้นการกำหนดความมุ่งหมายของหลักสูตรต้องคำนึงถึงข้อมูลพื้นฐานของสังคม
เพื่อประโยชน์ ในการแก้ปัญหา และสนองความต้องการของสังคมและผู้เรียน
และต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับนโยบายการจัดการศึกษาของชาติด้วย กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดองค์ประกอบของหลักสูตรส่วนนี้ เป็น 2
ลักษณะ คือ “หลักการของหลักสูตร” หมายถึง
แนวทางหรือทิศทางในการจัดการศึกษาซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการจัดการศึกษาระดับนั้น
ๆ จะได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ “จุดหมายของหลักสูตร” หมายถึง พฤติกรรมต่าง
ๆหรือคุณสมบัติต่าง ๆที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน เมื่อผ่านกระบวนการต่าง ๆ
ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรนั้นแล้ว
2.
เนื้อหาวิชา (Content) เป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในหลักสูตรให้ชัดเจน
โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาไปสู่ความมุ่งหมายของหลักสูตร
เนื้อหาสาระที่ได้กำหนดไว้ต้องสมบูรณ์ ต้องผนวกความรู้ ประสบการณ์ ค่านิยม แนวคิด
และทัศนคติเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทั้งในด้านความรู้ ความทัศนคติ
และพฤติกรรมต่าง ๆ อันพึงประสงค์
3.
การนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum implementation) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง
เพราะเป็นกิจกรรมที่จะแปลงหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติกิจกรรมนั้นมีหลายลักษณะ
แต่กิจกรรมที่สำคัญที่สุด คือ กิจกรรมการเรียนการสอน หรือ อาจกล่าวได้ว่า
“การสอนเป็นหัวใจของการนำหลักสูตรไปใช้” ดังนั้น
ครูผู้สอนจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้จัดการเรียนรู้
การกำหนดวิธีการที่จะนำผู้เรียนไปสู่ความมุ่งหมายของหลักสูตร ประกอบด้วย
3.1 วิธีการจัดการเรียนรู้
การกำหนดวิธีการจัดการเรียนรู้หลักสูตรจะเน้นแบบยึดครูเป็นสำคัญหรือยึดผู้เรียนเป็นสำคัญนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับปรัชญาการศึกษา หรือแนวความคิด ความเชื่อในการจัดการศึกษาที่พึงประสงค์
และขึ้นอยู่กับจุดหมายของหลักสูตรนั้นเป็นสำคัญ
สำหรับวิธีการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรในปัจจุบันเน้นแบบยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
หรือเน้น “การสอนคนมากกว่าการสอนหนังสือ” โดยมีแนวทางการจัดการเรียนรู้ เช่น
กระบวนการเรียนหรือวิธีการเรียนสำคัญพอ ๆ
กับเนื้อหาวิชาให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงและครูเป็นผู้กำกับการแสดงชี้แนะแนวทาง
ผู้เรียนค้นหาความรู้ สรุป และ ตัดสินใจเอง
รูปแบบหลักสูตร
หลักสูตรแต่ละรูปแบบจะแตกต่างกันในประเด็นสำคัญ
ดังต่อไปนี้ คือแนวความคิดหรือ
ปรัชญาในการจัดการศึกษาแตกต่างกันจุดเน้นของความมุ่งหมายแตกต่างกัน
เป็นต้น จากหลักเกณฑ์ความแตกต่างของหลักสูตรดังกล่าวข้างต้น
อาจจำแนกรูปแบบของหลักสูตรได้ 8 รูปแบบ ดังนี้
3.1 หลักสูตรแบบเนื้อหาวิชาหรือแบบรายวิชา
เป็นหลักสูตรแบบดั้งเดิมหรือหลักสูตรเก่าที่เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเป็นหลัก
ต้องการให้ผูเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาความรู้ต่างๆจะจัดไว้เพื่อถ่ายทอดอย่างมีระเบียบตามที่ผู้รู้ในแต่ละวิชาได้กำหนดไว้
3.2 หลักสูตรแบบสัมพันธ์วิชา
เป็นหลักสูตรที่มีพื้นฐานมาจากหลักสูตรแบบรายวิชาเนื่องจากเมื่อนำหลักสูตรรายวิชาไปใช้การเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละวิชาแตกแยกกันมากขึ้น
ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้น้อย เพื่อแก้ปัญหานี้
จึงนำเนื้อหาวิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึง
และมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันจัดไว้ด้วยกัน
3.3 หลักสูตรแบบหมวดวิชา หรือสหสัมพันธ์ หลักสูตรลักษณะแบบนี้จุดมุ่งหมายจะผสมผสานเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
หรือสาขาเดียวกัน ให้มีความสัมพันธ์ระหว่างวิชามากขึ้น ในลักษณะหมวดวิชา เช่น
หมวดวิชาสังคมศึกษา ประกอบด้วยวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง
ศีลธรรม เป็นต้น
3.4 หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์
หลักสูตรลักษณะแบบนี้ต้องการแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบรายวิชา
ที่ไม่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน หลักสูตรนี้จึงยึดเอากิจกรรม
ความสนใจและประสบการณ์แวดล้อมมาเป็นแนวทางในการจัดลำดับประสบการณ์การเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
โดยยึดปรัชญาพิพัฒนาการเป็นแนวทางด้านการวัดผลให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าปริมาณความรู้ความจำ
โดยมีข้อดี คือ สนองความต้องการ และความสนใจของผู้เรียนเป็นการเรียนอย่างมีความหมาย
เป็นต้น
3.5 หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม
หลักสูตรนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ของ จอห์น ดิวอี้
ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์
และประสบการณ์จะทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
หลักสูตรนี้จะยึดเอาสังคมและชีวิตของเด็กเป็นหลัก เช่น
การมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมประเพณีของสังคมที่แวดล้อมอยู่โดยพยายามให้เนื้อหามีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
เป็นต้น
3.6 หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแบบนี้มีลักษณะผสมผสานเนื้อหาวิชาเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
ส่งเสริมการเรียนที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ชีวิตของผู้เรียนของผู้เรียน
หลักสูตรประกอบด้วยสิ่งที่ผู้เรียนต้องเรียนเป็นความรู้หนึ่ง
และส่วนที่ใช้เลือกส่วนหนึ่ง หลักสำคัญอยู่ที่การจัดการเวลาเรียน
และการจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและขณะเดียวกันเน้นการเรียนรู้ทางวิชาการอย่างมีระบบ โดยมีข้อดี คือ
มีการผสมผสานทางด้านการเรียนรู้และเนื้อหาวิชา
มีความเกี่ยวพันกับชีวิตและความสนใจของผู้เรียน
สนองความสนใจและความถนัดของแต่ละบุคคล เปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
3.7 หลักสูตรแบบเอกัตภาพ
หลักสูตรแบบนี้จัดเนื้อหาสาระของหลักสูตรไปตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคล
การจัดหลักสูตรแบบนี้ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของครูผู้สอนที่จะวิเคราะห์ความต้องการ
ระดับสติปริญญา และความสามารถของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง
จัดการเรียนการสอนอยู่ในรูปของการจัดชุดการเรียนให้ผู้เรียนได้ศึกษาและพัฒนาความสามารถของตนไปตามลำดับ
มี ข้อดีคือ ผู้เรียนสามารถได้เรียนได้ด้วยตนเอง โดยมีครูคอยให้คำแนะนำปรึกษา
ผู้เรียนยึดแนวการสอนที่จัดทำไว้ โดยไม่ต้องพบผู้สอนเป็นประจำ
ผู้เรียนที่มีความสามารถสูงสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มความสามารถ
แต่มีข้อจำกัดที่ว่าความสัมพันธ์ในการรวมกลุ่มมีน้อย ผู้เรียนที่
ขาดความรับผิดชอบและไม่มีความซื่อสัตย์อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่ การแก้ปัญหาต่าง ๆ
กระทำได้น้อยและควรจะมาจากความคิดเห็นของกลุ่มมากกว่าคนเดียว
3.8 หลักสูตรบูรณาการ เป็นการผสมผสานเนื้อหาเข้าด้วยกัน
ไม่แยกเป็นรายวิชาโดยพยายามรวมประสบการณ์ต่าง ๆ
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยจะคัดเลือกตัดตอนมาจากหลาย ๆ สาขา
แล้วมาจัดเป็นกลุ่มหมวดหมู่เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง
มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเอง การบูรณาการเนื้อหาวิขาต่าง ๆ จะเน้นที่ตัวเด็กและปัญหาสังคมเป็นสำคัญการจัดการเรียนสอน
มุ่งให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความต้องการ
การวัดผลจะเน้นพัฒนาการทุกด้านโดยเฉพาะด้านความสามารถในการแก้ปัญหามีข้อดี คือ
ช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ต่อเนื่อง
มีประโยชน์โดยตรงต่อการดำรงชีวิตเป็นหลักสูตรที่มีการผสมผสานกันอย่างดี
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า
การกำหนดรูปแบบของหลักสูตรเป็นการพิจารณาเลือกและจัดเนื้อหาวิชาของวิชาของหลักสูตรให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายของหลักสูตร
โดยหลักสูตรแต่ละรูปแบบจะมีจุดมุ่งหมายโครงสร้างหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป
เนื่องจากการสร้างหลักสูตรแต่ละครั้ง ต่างยุคต่างสมัย
จึงต้องคำนึงถึงพื้นฐานที่ต่างกันด้วย
ลักษณะของหลักสูตรที่ดี
หลักสูตรที่ดีย่อมส่งผลดีต่อการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน
กล่าวคือ หลักสูตรที่ดีจะเป็นแนวทางให้ผู้บริหารโรงเรียนนำไปปฏิบัติได้ดี
มีประสิทธิภาพทางด้านครูสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดีต่อผู้เรียน
หลักสูตรที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ คือ
1.หลักสูตรควรมีความคล้องตัว
และสามารถปรับปรุงและยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
2.หลักสูตรควรเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การเรียนการสอนได้บรรลุตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้
3.หลักสูตรควรได้รับการจัดทำหรือพัฒนาจากคณะบุคคลหลายฝ่าย
4.หลักสูตรจะต้องจัดได้ตรงตามความมุ่งหมายของการศึกษาแห่งชาติ
5.หลักสูตรควรจะมีกิจกรรมกระบวนการและเนื้อหาสาระของเรื่องที่สอนบริบูรณ์เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้เรียนคิดเป็น
ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และพัฒนาการเรียนผู้เรียนในทุกๆด้าน
6.หลักสูตรควรบอกแนวทาง ด้านสื่อการสอน การใช้สื่อ
การวัดและประเมินผลไว้อย่างชัดเจน
7.หลักสูตรควรจะมีลักษณะที่สนองความต้องการและความสนใจ
ทั้งของนักเรียนและสังคม
8.หลักสูตรควรส่งเสริมความเจริญงอกงามในตัวผู้เรียนทุกด้าน
รวมทั้งส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
9.หลักสูตรควรชี้แนะแนวทางกระบวนการเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนความรู้ ทักษะและเจตคติได้ด้วยตนเอง จากสื่อต่างๆที่อยู่รอบตัว
10.หลักสูตรควรจัดทำมาจากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆอย่างรอบคอบ
11.เป็นหลักสูตรที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
เนื้อหาและกิจกรรมต้องเหมาะสมกับธรรมชาติ
12.เนื้อหาและประสบการณ์ต้องสอดคล้องกับสภาพการดำรงชีวิตของผู้เรียน
ประสบการณ์ต้องเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
สรุป
หลักสูตร
หมายถึง มวลประสบการณ์ความรู้ต่างๆที่จัดให้ผู้เรียนทั้งในและนอกห้องเรียนซึ่งมี
ลักษณะเป็นกิจกรรม
โครงการหรือแผน ซึ่งประกอบด้วย ความมุ่งหมายของการสอน
เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนได้พัฒนาและมีคุณลักษณะตามความมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้
หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการศึกษา
ที่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศ
หรือกล่าวอีกในหนึ่งได้ว่าหลักสูตรเป็นหัวใจของการจัดการเรียนการสอน
ที่กำหนดแนวทางว่าจะสอนใคร เรื่องใด เพื่ออะไรฆฆ
สาเหตุที่ทำให้มีการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาถึงข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ
เพื่อให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นมานั้น สมบูรณ์ สามารถสนองความต้องการของบุคคล
และสังคม พื้นฐานด้านต่างๆ ที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องนำมาพิจารณานั้นมีหลายประการ
ซึ่งมีนักการศึกษาได้ให้ความคิดเห็นว่าพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรด้านต่างๆ
ที่ควรนำมาพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตร มี 5 ด้าน
ดังนี้
1. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
2. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
3. พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
4. พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง
การปกครอง
5. พื้นฐานทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยี
กระบวนการการพัฒนาหลักสูตร
ทาบา (Taba) ได้กล่าวถึง
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
ตามความเชื่อที่ว่าผู้เรียนมีพื้นฐานแตกต่างกัน โดยกำหนดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้นตอน ดังนี้
1. วินิจฉัยความต้องการ :
สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม และผู้เรียน
2. กำหนดจุดมุ่งหมาย :
หลังจากได้วินิจฉัยความต้องการของสังคมและผู้เรียนแล้วจะกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ชัดเจน
3. คัดเลือกเนื้อหาสาระ :
จุดมุ่งหมายที่กำหนด แล้วจะช่วยในการเลือกเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย
วัย ความสามารถของผู้เรียน โดยเนื้อหาต้องมีความเชื่อถือได้
และสำคัญต่อการเรียนรู้
4. จัดเนื้อหาสาระ :
เนื้อหาสาระที่เลือกได้ ยังต้องจัดโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง
และความยากง่ายของเนื้อหา วุฒิภาวะ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน
5. คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ :
ครูผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
6. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ :
ประสบการณ์การเรียนรู้ควรจัดโดยคำนึงถึงเนื้อหาสาระและความต่อเนื่อง
7. กำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล
:
ตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไรเพื่อตรวจสอบผลว่าบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่
และกำหนดด้วยว่าจะใช้วิธีประเมินผลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั้ง 6 ขั้นดังกล่าว มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้
1. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือ
ข้อมูลทางด้านความต้องการ ความจำเป็นและปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ
การเมืองและการปกครอง ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา
ปรัชญาการศึกษา ความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนวิเคราะห์หลักสูตรเดิม
เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข
2.
การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
คณะกรรมการดำเนินงานจะต้องร่วมกันพิจารณากำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน
โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ
มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย
และทักษะพิสัย โดยกำหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ แต่ละรายวิชา
ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจ
ตลอดจนปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม เพื่อให้เป็นพลเมืองดี
3. การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้
หลังจากได้กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว ก็ถึงขั้นการเลือกสาระความรู้ต่างๆ
ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้
จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า
เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง
แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม
ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้
4. การนำหลักสูตรไปใช้
เป็นขั้นของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ
และเกี่ยวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสำเร็จ
มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน
และครูผู้สอนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ และมีความชำนาญในการใช้หลักสูตร
ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ
ภายในโรงเรียนเพื่อเสริมหลักสูตร การนิเทศการศึกษา และการบริหารการบริการหลักสูตร
ฯลฯ นอกจากนี้ในขั้นนี้ยังครอบคลุมถึงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้ก่อนนำไปเผยแพร่ด้วย
5.
การประเมินผลหลักสูตร
เป็นการประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรว่าเมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้แล้วนั้น
ผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ ไปแล้ว มีคุณสมบัติ
มีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้
การประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น
อันเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
การประเมินหลักสูตรควรทำให้ครอบคลุมระบบหลักสูตรทั้งหมด
และควรจะประเมินให้ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการประเมินหลักสูตร
จึงประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ
5.1 การประเมินเอกสาร หลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ว่ามีความเหมาะสมดี และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด
หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก่อนจะได้นำไปประกาศใช้ในโอกาสต่อไป
5.2 การประเมินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตร
สามารถนำไปใช้ได้ดีในสถานการณ์จริงเพียงใด
มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร โดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตรก็มักได้รับการแก้ไขโดยทันที
เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.3 การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตร
โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากได้มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรไปแล้ว
การประเมินหลักสูตร ในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด
5.4 การประเมินระบบหลักสูตร
เป็นการประเมินหลักสูตรในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมาก กล่าวคือ
การประเมินระบบหลักสูตรจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรด้วย
เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้ ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตร กับระบบบริหาร โรงเรียน
ระบบการจัดการเรียนการสอน และระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน เป็นต้น
6. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากได้ผ่านกระบวนการประเมินผลหลักสูตรแล้ว
ซึ่งเมื่อมีการใช้หลักสูตรไประยะหนึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมและสังคม
จนทำให้หลักสูตรขาดความเหมาะสม
จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใหม่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป ในการเตรียมการ
และการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณมากพอสมควร
เพื่อจะให้ได้หลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลในการพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไป
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยกระดับของหลักสูตรจาก
ระดับที่เป็นขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร
และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
1.ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
2.ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการสอน ของครูตามแนวหลักสูตร
3.ปัญหาการจัดอบรมครู
4.ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร
ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
5.ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
6.ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
วิธีการการพัฒนาหลักสูตร
มี 5
วิธีการ
1.การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
2.การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
3.การพัฒนาหลักสูตรแบบวิธีการสาธิต
4.การพัฒนาหลักสูตรวิธีการอย่างมีระบบ
5.การพัฒนาหลักสูตรโดยวิธีเชิงปฏิบัติการ
การนำหลักสูตรไปใช้
Curriculum
Implementation
การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาหลักสูตร
เพราะเป็นการนำอุดมการณ์ จุดหมายของหลักสูตร
เนื้อหาวิชา
และประสบการณ์การเรียนรู้ที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้ มีความสำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนตอนใดๆทั้งหมด เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตร
ถึงแม้หลักสูตรจะสร้างไว้ดีเพียงใดก็ตาม
ยังไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
ถ้าหากว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ดีเพียงพอ ความล้มเหลวของหลักสูตรก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้
จึงมีความสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในการนำหลักสูตรไปใช้
จะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ
เพื่อให้สามารถนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดตามความมุ่งหมายทุกประการ
ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้
เป็นขั้นตอนที่นำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ความหมายของคำว่า
การนำหลักสูตรไปใช้มีแตกต่างกันออกไป
นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย
คำนิยามของคำว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดังนี้
โบแชมป์ (Beauchamp,1975:164) ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง
การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยการะบวนการที่สำคัญที่สุด
คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ครูได้มีพัฒนาการเรียนการสอน
จากความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
ตามที่นักการศึกษาได้ให้ไว้ข้างต้น
พอสรุปได้ว่า
การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง
การดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ
ที่จะทำให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นดำเนินไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นับแต่การเตรียมบุคลากร อาคาร สถานที่
วัสดุอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม และการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น