การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action
Research)
ความหมายการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537 อ้างใน สมนึก ปฏิปทานนท์, 2550)
กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือการวิจัยที่ใช้กระบวนการปฏิบัติอย่างมีระบบ
โดยผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการและวิเคราะห์วิจารณ์ผลการปฏิบัติ
จากการใช้วงจร4 ขั้นตอนคือ การวางแผน การลงมือกระทำ
การสังเกตและการสะท้อนการปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องกันไป
ผลที่ได้นำไปปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริง
หรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมนึก ปฏิปทานนท์ (2550)
กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
เป็นการวิจัยที่มุ่งจะนำหลักการของวิธีการทางวิทยาสาสตร์มาใช้เพื่อแก้ปัญหาในสภาพการณ์เฉพาะ
เน้นการวิจัยที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในการทำงานจริงๆ
กิตติพร ปัญญาภิญโญผล (2549) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
หมายถึงการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบถึงการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานเอง
เพื่อเข้าใจดีขึ้น หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ซึ่งได้จากการรวบรวมการร่วมมือ
การสะท้อนตนเองและการใช้วิจารณญาณภายใต้กรอบจรรยาบรรณที่ยอมรับกัน
กรมส่งเสริมการเกษตร (2551)
การวิจัยปฏิบัติการ คือ การวิจัยประยุกต์แบบหนึ่ง
เป็นการวิจัยที่สะท้อนผลการปฏิบัติงานของตนเองเป็นวงจรแบบต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
โดยเริ่มต้นที่ขั้นตอนการวางแผน การปฏิบัติการสังเกต
และการสะท้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
Lewin
(1946 อ้างใน ยาใจ พงษ์บริบูรณ์, 2552)
กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
คือการวิจัยที่ใช้กระบวนการศึกษาในลักษณะกลุ่มรวมกันทำงานและตัดสินใจ
อย่างมีพันธะต่อกันเพื่อมุ่งมั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และใช้การปฏิบัติการ
3 ขั้นตอน คือการวางแผน การปฏิบัติการ และการสะท้อนผลการปฏิบัติ
Johnson,
C.S. และ Kromann-Kelly (1995 อ้างในสุวิมล ว่องวาณิช, 2551 ) กล่าวว่า
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์และตีความหมายโดยมีแผนงานกำหนดและแลกเปลี่ยนผลกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ
กระบวนการวิจัยปฏิบัติการต้องตอบคำถาม5 ข้อ ดังต่อไปนี้ (1)
คำถามที่ต้องการศึกษาคืออะไร (2) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง (3)
ข้อมูลที่ต้องจัดเก็บคืออะไร (4)จะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร และ (5)
จะแปลความหมายนั้นว่าอย่างไร การตอบคำถามเหล่านี้ต้องใช้เวลาวางแผน
และในทุกขั้นตอนต้องอภิปรายกับเพื่อนร่วมงาน
Zuber-Skerritt,
O.
(1996
อ้างในสุวิมล ว่องวาณิช, 2551) กล่าวว่า
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรต่อเนื่อง 4
ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวางแผนกลยุทธ์ (2) การปฏิบัติ (นำแผนไปปฏิบัติ) (3)
การสังเกต (โดยมีการประเมินตนเอง) และ (4) การสะท้อนผลเชิงวิพากษ์จากตนเองและเพื่อนร่วมงานในผลที่ได้จากขั้นตอนที่
1-3 จากนั้นมีการทำงานในวงจรรอบที่ 2 โดยมีการปรับแผนการทำงาน แล้วนำไปปฏิบัติ
ทำการสังเกตผลที่เกิดขึ้นและสะท้อนผลเพื่อปรับปรุงต่อไป
Dick,
B.
(2000 อ้างใน สุวิมล ว่องวาณิช, 2551)
กล่าวว่าการวิจัยปฏิบัติการ
ประกอบด้วยวิธีวิทยาการการวิจัยที่ทำให้เกิดผลของการปฏิบัติ และผลของการวิจัย
ในเวลาเดียวกัน โดยมีขั้นตอนการวิจัยที่เป็นวงจรต่อเนื่อง
ประกอบด้วยผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการ ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นข้อความที่เป็นภาษามากกว่าตัวเลข
นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนผลซึ่งครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นกระบวนการและผลลัพธ์
การวิจัยปฏิบัติการจึงเป็นกระบวนการที่มีความยืดหยุ่น
ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งนี้ Dick มีความเห็นว่าการวิจัยปฏิบัติการเป็นการวิจัยที่มีการสร้างสมมติฐานการวิจัยจากข้อมูลที่รวบรวมได้ระหว่างการทำวิจัย
และสามารถใช้กระบวนการดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำหรับการวิจัยนำร่อง
การนำไปใช้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยจุดบกพร่องต่างๆ หรือใช้เพื่อการประเมินผล
อย่างไรก็ตาม Dick เห็นว่าการมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องมีตลอดการวิจัย
อาจให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมเพียงแค่ผู้ให้ข้อมูล ลักษณะสำคัญ
จากการศึกษาแนวคิดของนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีต่อความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
สามารถสรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฎิบัติการ คือ การศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ และตีความหมายอย่างมีระบบ และยืดหยุ่น
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะ
ถึงการปฏิบัติงานเพื่อเข้าใจดีขึ้น หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่
ของผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรต่อเนื่อง 4 ขั้นตอน
ได้แก่ (1) การวางแผนกลยุทธ์ (2) การปฏิบัติ (นำแผนไปปฏิบัติ) (3) การสังเกต
(โดยมีการประเมินตนเอง) และ (4)การสะท้อนผลเชิงวิพากษ์จากตนเองและเพื่อนร่วมงาน
ผลที่ได้นำไปปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริง หรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้กรอบจรรยาบรรณที่ยอมรับกัน
ทฤษฎีพื้นฐานของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
Mills
(2003 อ้างใน กิตติพร
ปัญญาภิญโญผล, 2549) กล่าวถึงทฤษฎีและปรัชญาที่เป็นฐานสำคัญของการปฏิบัติของนักวิจัย
มีความแตกต่างหลากหลายขึ้นกับรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของนักวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ซึ่งจัดเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ใช้ทฤษฎีเป็นฐาน (critical
or theory-based) และประเภทที่ใช้การปฏิบัติการเป็นฐาน (practical
based) นั่นคือ Mills จัดว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐาน
(critical action research) และวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ปลดปล่อยอิสระจากการครอบงำของกรอบ
(emancipatory action research) โดยรวมประเภทที่ 1 และประเภทที่ 3
ดังที่กล่าวข้างต้นเป็นกลุ่มประเภทเดียวกัน เพราะเป้าหมายหลักเหมือนกัน คือ
มีการรวบรวมความรู้ที่ไม่ติดยึดกับกฎเกณฑ์หรือกรอบแบบเดิม ๆ หลักการเหตุผลสำหรับ critical
action research ใช้ทฤษฎีเป็นฐานสำคัญในทางสังคมศาสตร์และทางมนุษยศาสตร์
รวมถึงทฤษฎีของยุคหลังสมัยใหม่ (theories of postmodernism) หรือ
technical action research
ทฤษฎีเชิงวิพากษ์ (critical
theory) ในงานวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือ technical
action research ทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่เป็นพื้นฐานร่วมคล้าย ๆ กัน (Kemmis, 1990 อ้างใน กิตติพร ปัญญาภิญโญผล,
2549) ดังนี้
1. ความสนใจร่วมกันในกระบวนการของการนำไปสู่การรู้แจ้ง
(enlightenment)
2. ความสนใจร่วมกันในการทำให้แต่ละคนอิสระเสรีจากสั่งการหรือบงการตามแบบเดิม
ๆ (สืบทอดตามวัฒนธรรมแบบเดิม ๆ)
3. การเต็มใจผูกมัดตัวเองเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการทางประชาธิปไตย
เพื่อการปฏิรูปและนอกจากนี้รากเหง้าในทฤษฎีเชิงวิพากษ์ของทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
เป็นที่มาของวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐาน
ซึ่งมาจากทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่ (postmodernism) ที่เรียกร้องความเป็นจริง
(truth) และความเป็นปรนัย (objectivity) ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบเดิม แทนที่จะเรียกร้องข้อเท็จจริง (fact)
กลุ่มยุคหลังสมัยใหม่ให้ข้อโต้แย้งว่าความเป็นจริง (truth) มักเกี่ยวข้องเสมอกับสิ่งอื่น ๆ เช่น เงื่อนไข สถานการณ์
และความรู้ที่ได้มักเกิดจากความเจริญงอกงามที่เป็นผลพอกพูนขึ้นจากประสบการณ์เดิม
ดังนั้น
ทัศนะของยุคหลังสมัยใหม่ได้คำนึงถึงความห่วงใยดังกล่าวเหล่านี้ โดยสนับสนุนให้การวิจัยตั้งอยู่บนข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการมีอยู่ของความเป็นจริง
(truth)
เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ๆ
ไม่ว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ และยังขึ้นกับประสบการณ์เดิมด้วย
ดังนั้นเพียงจัดทำให้วิจัยเชิงปฏิบัติการดำเนินการในสถานที่นั้นๆเอง จึงจะน่าจูงใจและตรงมากกว่าและที่สำคัญคือผลข้อค้นพบที่ได้มานั้นมีความหมายสำหรับผู้มีส่วนร่วมเอง
ทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่ได้ผลักดันให้ศึกษาและตรวจสอบถึงกลไกของการผลิตความรู้
และตั้งคำถามถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่เป็นฐานสำคัญของชีวิตสมัยใหม่ นั่นคือ
มีการผลักดันให้ “ตรวจสอบสิ่งที่มีอยู่ตามปกติประจำวันในกิจกรรมส่วนบุคคล
กิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมทางวิชาชีพ” (Stringer, 1996 อ้างใน กิตติพร ปัญญาภิญโญผล,
2549) วิจัยเชิงปฏิบัติการให้วิธีการที่ทำให้เราสามารถนำไปใช้เพื่อการตรวจสอบและได้ตัวแทนประสบการณ์ของผู้วิจัย
ซึ่งสร้างตามบริบทและการเมือง
คุณค่าของวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐานคือ
การทำให้วิจัยทางการศึกษาตอบสนองต่อสังคม รวมถึงลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ความเป็นประชาธิปไตย
ช่วยการมีส่วนร่วมของกลุ่มคน
2. ความเสมอภาค
รับทราบถึงคุณค่าของความเท่าเทียม
3. ความมีอิสรภาพหรือเสรีภาพหรือความเสมอภาพ
ให้มีอิสรภาพจากการถูกกดขี่พ้นจากสภาพความหดหู่ หมดกำลังใจ
4. การส่งเสริมสนับสนุน
ช่วยส่งเสริมให้คนแสดงออกอย่างเต็มศักยภาพในขณะเดียวกัน
วิธีการของการใช้ทฤษฎีวิพากษ์เป็นฐานนั้นถูกวิจารณ์ว่าขาดความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติ
(Hammersley, 1993 อ้างใน กิตติพร ปัญญาภิญโญผล, 2549) ซึ่งถือว่าไม่สำคัญนักเพราะวิจัยเชิงวิพากษ์ช่วยค้นหาหรือช่วยแก้ปัญหาซึ่งใช้เป็นวิธีการสำหรับครูได้ผูกมัดตนเอง
โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการค้นหาความสัมพันธ์ และ พร้อม ๆ กับปฏิบัติงานในวิชาชีพของครูเองด้วย
ส่วนวิจัยอีกประเภทหนึ่ง คือ
วิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นการปฏิบัติเป็นฐาน (practical
action research) โดยวิจัยเชิงนี้เน้นหนักไปที่วิธีการดำเนินการกับกระบวนการของวิจัยเชิงปฏิบัติการ
และให้น้ำหนักน้อยกับ “ปรัชญา”
โดยตั้งสมมติฐานว่าครูแต่ละคนหรือแต่ละทีมมีอิสระในตัวเองในการกำหนดเรื่องที่ต้องการศึกษา
นักวิจัยผูกมัดกับการพัฒนาทางวิชาชีพครูปรับปรุงการเรียนการสอน ปรับปรุงโรงเรียน
และนักวิจัยต้องสะท้อนงานที่ปฏิบัติอย่างมีระบบท้ายที่สุดเชิงปฏิบัติการประเภทนี้มีทัศนะว่า
นักวิจัยเป็นผู้ตัดสินใจเลือกกำหนดประเด็นที่ต้องการวิจัย
ตัดสินใจเองว่าจะใช้เทคนิคอะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล และพัฒนาแผนการปฏิบัติที่ขึ้นกับผลข้อค้นพบ
ความสำคัญและความจำเป็นของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
สุวิมล
ว่องวานิช(2547:24)ได้กล่าวว่าความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ
1. ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้
ทักษะการทำวิจัย
การประยุกต์ใช้การตระหนักถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ดีขึ้น
2. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผลการทำงาน
3. เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ
โดยตรง เนื่องจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ
4. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยในทีทำงานซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ และการแก้ปัญหา
5. เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติในการวิจัยให้กระบวนการวิจัยมีความเป็นประชาธิปไตย
ทำให้เกิดยอมรับในความรู้ของผู้ปฏิบัติ
6. ช่วยตรวจสอบวิธีการทำงานของครูที่มีประสิทธิผล
7. ทำให้ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
การวางแผนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน
การวางแผนวิจัยเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่สำคัญหลายประการ
ได้แก่ (1)
การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเพื่อตั้งข้อสงสัย (2)
การตั้งคำถามวิจัยที่มีความเฉพาะเจาะจงมีความเป็นรูปธรรม
และเป็นคำถามที่วิจัยได้ (3) การกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา (4)
การออกแบบการวิจัยสำหรับเป็นแนวทางในการศึกษาเพื่อให้ได้คำตอบก่อนที่จะนำแผนปฏิบัติการปฏิบัติจริง
(5) การเตรียมแผนสู่การปฏิบัติ (ผ่องพรรณ : 2544)
1.
การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
คือ
ปรากฎการณ์หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในห้องเรียนหรือสิ่งที่เกิดกับผู้เรียนซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลให้การเรียนการสอนไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด
สิ่งที่สังเกตเห็นดังกล่าวจะนำไปสู่การกำหนดข้อสงสัยว่า “มีอะไรเกิดขึ้น”
สิ่งนั้นนั้นก็ให้เกิดปัญหาอย่างไร”ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”ทำไมจึงไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น”ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง”
ข้อสงสัยที่กำหนดในลักษณะคำถามที่กว้างนี้ทำให้รูเกิดความสนใจที่จะค้นหาคำตอบ และ
ทำ การศึกษาเพื่อให้ตนเองมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
การวิเคราะห์สภาพปัญหาในห้องเรียนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ครูแต่ละคนต้องทำการสำรวจหรือศึกษาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องเรียน
สิ่งนั้นเป็นปัญหาหรือไม่
และหากสภาพที่เกิดขึ้นในห้องเรียนแสดงถึงปัญหาหลายประการที่ต้องการการแก้ไข
ครูก็จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหาเหล่านั้น
1.1. ประเด็นในการวิเคราะห์สภาพปัญหา
ครูนักวิจัยควรตั้งคำถามกับตนเองหลังจากสังเกตเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนที่ตนเองรับผิดชอบ
1.2. การตัดข้อสงสัย
ครูต้องเป็นคนช่างสังเกต
แล้วสะท้อนสิ่งที่สังเกตเห็น ตั้งเป็นข้อสงสัยโดยการถาม ตนเอง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. คุณมีข้อสงสัยอะไรบ้างเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียนของคุณ
2. สิ่งที่ทำให้คุณสงสัยว่าเป็นปัญหาในชั้นเรียนของคุณเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระหรือการจัดการเรียนการสอน
3. ลักษณะอะไรบ้างในการเรียนรู้ของของนักเรียนที่คุณอยากทำความเข้าใจให้ดีขึ้น
4. ลักษณะของการสอนอะไรบ้างที่เป็นปัญหาของคุณ
และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
5. คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการสอนของคุณ
และเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งคุณต้องการตรวจสอบ
2.
การตั้งคำถามวิจัย
คำถามวิจัย เป็นการกำหนดประเด็นข้อสงสัยที่ต้องการค้นหาคำตอบโดยมักเขียน
อยู่ในรูปประโยคที่เป็นคำถาม
ที่มีความเฉพาะเจาะจง สามารถสังเกตสำรวจและศึกษาวิจัย ได้
2.1. เกณฑ์การกำหนดคำถามวิจัย
1.
การตั้งคำถามที่ดี ไม่ควรใช้คำถาม YES/NO แต่ควรใช้
“ทำไมอย่างไร อะไร”
2.
มีความน่าสนใจจะศึกษาหรือควรนำมาศึกษาเพื่อช่วยนักเรียนที่มีปัญหา
3.
คำถามวิจัยนั้นมีความสำคัญทั้งต่อตัวครูผู้สอนละผู้เรียน
4.
คำถามวิจัยนั้นสามารถจัดการให้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้วิจัยได้และสามารถตัดสินใจทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
5.
คำถามวิจัยนั้นมีความเป็นไปได้ในการทำ เหมาะสมกับเวลา ทรัพยากรในช่วงแรกควรคิดถึงการทำวิจัยในประเด็นเล็กๆ
(small scale) ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถดำเนินการจนสำเร็จ
6.
หลีกเลี่ยงปัญหาวิจัยที่ครูหรือผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถทำอะไรได้แม้ทราบคำตอบ
สรุปการคัดเลือกคำถามวิจัยทำควรมีการถามคำถามต่อไปนี้
1.
ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร
2.
ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของใคร
3.
ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อใครและอะไรบ้าง
4.
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความสำคัญระดับใด เมื่อเทียบกับปัญหาอื่นปัญหาใดสำคัญกว่า
5.
ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปัญหาหรือเหตุการณ์อื่นๆอะไรบ้างอย่างไร
6.
ใครคือผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และ
การแก้ไขปัญหานั้นต้องเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่อย่างไร
2.2.
การใช้ประโยชน์จากผลการวิเคราะห์สภาพปัญหา
ผลที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพปัญหานี้นำไปสู่การกำหนดคำถามวิจัยที่สอดคล้องกับสภาพกรณืที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
ทำให้ผู้วิจัยสามารถตัดสินใจในการวางแผนการวิจัย
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นนำไปสู้การกำหนดคำถามวิจัยได้หลายคำถามที่ไม่เหมือนกัน
การวิเคราะห์สภาพปัญหาจะทำให้ทราบว่าคำถามวิจัยใดมีความสำคัญที่สุดหรือเร่งด่วนที่สุดต้องนำมาหาคำตอยก่อน
2. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดกับนักเรียนทั้งห้องเรียนหรือเกิดกับนักเรียนบางคน
การวิเคราะห์สภาพปัญหาทำให้ผู้วิจัยตัดสินใจได้ว่ากลุ่มเป้าหมายของการศึกษาครั้งนั้นคือใคร
3. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นบางครั้งครูคนเดียวก็แก้ไขไม่ได้
ต้องอาศัยเพื่อนครูคนอื่น หรือ ผู้เกี่ยวข้อง
หรือนักวิชาการภายนอกมาร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาดังนั้น
ครูผู้ที่กำลังทำวิจัยจะมีข้อมูลตัดสินใจว่าในการวิจัยนั้นสมควรใช้รูปแบบวิจัยใด
จำเป็นต้องเชิญบุคคลภายนอกที่มีความชำนาญมาช่วยให้คำแนะนำหรือไม่ เช่น
การใช้รูปแบบจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหากครูไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร
ก็ต้องระดมความคิดจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด การวิจัยที่เหมาะสมสำหรับกรณีนี้
ก็จะเป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบร่วมมือ
4.
ในบางคำถามวิจัยจำเป็นต้องแก้ไขในระดับกว้างหรือทำในระดับโรงเรียนไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้ในชั้นเรียนนั้น
หรือห้องเรียนนั้น เช่น ปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์
หารผู้เรียนมีพื้นฐานอ่อนอันเนื่องมาจากจัดกระบวนการเรียนรู้ก่อนหน้านั้น การแก้ไขเฉพาะรายบุคคลไม่ได้ขจัดต้นเหตุของปัญหาให้หมดไปได้
อาจจำเป็นต้องแก้ไขโดยปฏิบัติการรูปการเรียนรู้เกี่ยวกับการสอนคณิตศาสตร์ใหม่ทั้งหมดลักษณะของการวิจัยจึงน่าจะเป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบทำในระดับโรงเรียน
1. คำถามนั้นมีความสำคัญกับคุณเพียงใด
2. คำถามนั้นเกิดประโยชน์ต่อนักเรียนเพียงใด
3. โอกาสในการสำรวจข้อมูลมีมากน้อยเพียงใด
4. ใครบ้างที่สามารถช่วยในการทำวิจัยนี้ได้
5. คุณสามารถจัดการเรื่องเวลาในการวิจัยเรื่องนั้นมากน้อยเพียงใด
2.3.
ระดับของคำถามวิจัย
1. การวิจัยระดับที่หนึ่ง
(fist-order research) เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า
“ใครทำอะไร”ได้ผลอย่างไร”ดังตัวอย่าง
นักเรียนมีความก้าวหน้าเพียงใดหลังจากใช้กิจกรรมการฟังแบบที่ครูนำมาทดลองใช้กิจกรรมแบบใดให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
2.
การวิจัยระดับที่สอง (Second-order research) เป็นคำถามศึกษาวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า
“คนรับรู้สิ่งที่ตนเองทำอย่างไร” (ศึกษาความคิดของคนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น)
ผลกระทบของการชมเชยมีผล อย่างไรต่อความเคลื่อนไหลของกลุ่ม
(ทำให้เข้าใจมุมมองของนักเรียนว่ารู้สึกอย่างไรต่อ การชมเชย และ
การชมเชยมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้เป็นใด)
3. วิธีการทำให้ได้คำถามวิจัยที่ดี
การตั้งคำถามวิจัยที่ดีได้ต้องอาศัยกระบวนการต่อไปนี้
1.
ฝึกเป็นคนช่างสังเกต
2.
สร้างนิสัยรักการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับปัญหาของนักเรียนและการแก้ไขปัญหา
3.
ฝึกตั้งข้อสงสัยและตั้งคำถามวิจัย ลองทดลองตั้งคำถามและคาดเดาคำตอบ
4.
หาเวลาสะท้อนความคิดกับเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความคิดของตนเอง
โดยเฉพาะความสมเหตุสมผลของคำถามวิจัย
5.
สามารถปรับคำถามวิจัยระหว่างการเรียนการสอนให้
เหมาะสมกว่าเดิมได้(ถ้าจำเป็น)
4.
เกณฑ์การเลือกคำถามวิจัยมาศึกษา
ในการเลือกคำถามวิจัยมาศึกษา
ผู้วิจัยต้องเลือกโดยมีหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. ปัญหาของนักเรียนทุกคนต้องได้รับความสนใจจากครูในการแก้ไขอย่างเท่าเทียมกัน
2.
ผลการวิจัยของครูต้องเกิดประโยชน์กับชั้นเรียนหรือโรงเรียน
3.
คำถามวิจัยที่เลือกมาศึกษาต้องคำนึงถึงจริยธรรมของการวิจัย
ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใด
4.
คำถามวิจัยนั้นสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในห้องเรียน
ไม่จำเป็นต้องเก็บใหม่จนกระทบ
การเรียนการสอน
ก็ควรวางแผนให้เหมาะสม
ตัวอย่างของประเด็นการวิจัยที่มีความเหมาะสม
1. ฉันต้องการพัฒนาคุณภาพของทักษะการเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
จะสามารถทำได้อย่างไร
2. ถ้ามีวิธีการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอยู่เสมอ
วิธีควรใช้วิธีใดจึงจะเหมาะสมกว่ากัน
3. ฉันอยากนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช่ในการสอนคอมพิวเตอร์
จะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีดังกล่าวได้ผลหรือไม่
4. ทำไมนักเรียนไม่คอยสนใจ
มีวิธีสร้างนิสัยดังกล่าวอย่างไร
5. จะทำให้นักเรียนรู้โทษของยาเสพติด
และหลีกเลี่ยงจากยาเสพติดอย่างไร
ตัวอย่างของประเด็นที่ความเหมาะสมน้อยกว่า
1. นักเรียนที่ขาดโรงเรียนมีภูมิหลังทางครอบครัวอย่างไร
2. จำนวนนักเรียนที่มีครอบครัวแตกแยกมีเท่าใด
3. สาเหตุอะไรที่ทำให้นักเรียนมาสาย
4. นักเรียนที่มาสายมีจำนวนเท่าใด
5. ความสัมพันธ์ระหว่างเวลามาโรงเรียนกับเด็กที่พ่อแม่หย่าร้างมีลักษณะเช่นใด
6. ปริมาณของเวลาที่เด็กใช้ในชั้นเรียนสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่
7. ทำไมนักเรียนเอาอุปกรณ์มาไม่ครบ
โปรดสังเกตว่าคำถามหรือประเด็นการวิจัยในกลุ่มหลังมีความเหมาะสมน้อยกว่ากลุ่มแรกเนื่องจากข้อค้นพบที่ได้
ไม่ได้มีส่วนปรับปรุงแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นเท่าที่ควรนอกจากนี้หลายคำถามก็มีคำตอบในเชิงทฤษฎีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องศึกษาซ้ำ เช่น คำถามวิจัยข้อ 1-2
ซึ่งเป็นคำถามที่เกี่ยวกับภูมิหลังทางครอบครัวของนักเรียน
การรู้สถิติของนักเรียนที่ทีครอบครัวแตกแยก จะเกิดประโยชน์ต่อนักเรียนค่อนข้างน้อย
การรู้ว่านักเรียนที่มีพ่อแม่แตกแยกจะส่งผลต่ออัตราการมาโรงเรียนของนักเรียนหรือการเรียนของนักเรียน
ก็ไม่สามารถช่วยอะไรไก้มากนัก คำถามประเภทนี้
เป็นคำถามที่แม้จะรู้คำตอบแล้วครูก็ไม่มีบทบาทมากในการเข้าไปแก้ไขและไม่ใช่หน้าที่ของครูที่จะเข้าไปทำให้พ่อแม่ของนักเรียนคืนดี
ข้อมูลแบบนี้โรงเรียนจำเป็นต้องมีการจัดเก็บเพื่อให้เข้าใจในสภาพของนักเรียน
แต่ไม่ใช้นำมากำหนดเป็นคำถามการวิจัยหลัก คำถามวิจัยที่น่าจะเป็นประโยชน์มาก คือ
ครูจะมีวิธีอย่างไรในการแก้ไขปัญหาด้านการเรียนสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาทางบ้าน
และวิธีที่นำมาใช้ได้ผลเพียงใด
3.
การกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา
คำถามการวิจัยหลายคำถามเป็นเพียงการทำวิจัยเพื่อนสำรวจสภาพที่เกิดขึ้นในห้องเรียนบางคำถามเป็นคำถามที่มุ่งเน้นการอภิปรายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่คำถมส่วนใหญ่มุ่งเน้นการหาวิธีการแก้ปัญหา
3.1 สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เป็นปัญหาของครู
การคิดหาวิธีการแก้ปัญหา การกำหนดสิ่งทดลองเพื่อใช้ในการจัดการเรียนดารสอน
หลายครั้งที่ครูกำหนดปัญหาวิจัยว่า แต่หาวิธีแก้ไขไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถหา
“อะไร” ไปทดลองใช้ได้ ครูมักตั้งถามวิจัยว่า
“ทำไมนักเรียนจึงมีข้อบกพร่องด้านการอ่าน”ทำไมนักเรียนจึงเขียนสะกดคำไม่ได้” การตั้งคำถามแบบนี้ทำให้ได้คำตอบสาเหตุของปัญหา
ซึ่งครูสามารถวิเคราะห์ได้จากพฤติกรรมของนักเรียน และพฤติกรรมการสอนของครู
คำถามวิจัยแบบนี้มีประโยชน์ระดับหนึ่ง แต่จะไม่สามารถแก้ปัญหาวิจัยได้เลย
หากครูไม่ตั้งคำถามวิจัยต่อว่า “วิธีแก้ปัญหานักเรียนที่มีข้อบกพร่องการอ่านคืออะไร”วิธีแก้ปัญหาได้ผลหรือไม่อย่างไร”ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนจากการใช้วิธีดังกล่าวคืออะไร”
3.2.
วิธีการแก้ปัญหา
แนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้ มีดังนี้
1.
ครูต้องอ่านมาก
ติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวิทยาการด้านการสอนให้มาก
2.
ครูต้องมีการรวมกลุ่มกัน
และหาโอกาสอภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการสอนใหม่ๆ
3.
ต้องมีการสำรวจข้อมูลและจัดระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการเรียนรู้
เทคนิคการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความหลากหลาย
แต่ที่ผ่านมาไม่มีการจัดระบบฐานข้อมูลหรือเผยแพร่เทคนิคดังกล่าวอย่างจริงจังตัวอย่างเทคนิคการสอนมีเล็กน้อย
และไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
4.
การจัดตั้งเครือข่ายการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom
Action Research Network) โดยเป็นศูนย์กลางของการเก็บรวบรวมผลการวิจัย
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวทางการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
แล้วจัดทำเป็นฐานข้อมูลระดับชาติสมมติหน่วยงานหนึ่งมีฐานข้อมูลนั้นจำทำให้เห็นวิธีการต่างๆจากครูที่สอนเด็กเล็กที่เสนอมายังเครือข่ายดังกล่าวเป็นพันเป็นหมื่นเรื่อง
งานวิจัยดังกล่าวเมื่อนำมาสังเคราะห์จะสามารถสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับความรู้การสร้างนิสัยการดื่มนมที่ได้ผล
5.
รวบรวมวิธีการการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน
จะมีการแสดงตัวอย่างของวิธีการต่างๆที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนอย่างเป็นหมวดหมู่
จะทำให้ครูเกิดความคิดที่จะดัดแปลงหรือคัดเลือกวิธีการที่ต้องนำไปใช้
ต้องมีตัวอย่างที่นำเสนอวิธีการหลากหลายในการแก้ปัญหาเดียวกัน ไม่ควรนำเสนอตัวอย่างเดียว
เพราะอาจทำให้เกิดการลอกเลียน
และเป็นการกำจัดความคิดครูซึ่งนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังส่งผลเสียได้
การที่จะผนวกกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการเข้าไปทำพร้อมๆกับการเรียนการสอนตามปกติประจำวันควรคำนึงสิ่งต่อไปนี้
1.
ลองใช้กระบวนการจริงและทำให้เกิดความมั่นใจว่า
การลงทุนด้านเวลาเละพลังกาย-ใจ ที่ใส่ลงไปคุ้มค่ากับผลลัพธ์ ขั้นแรก
ดำเนินโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่มีความหมายกับครูคือตัวท่านเอง
และตรงกับความต้องการของนักเรียน เมื่อสิ้นสุดโครงการครูจะพบว่า
ครูเข้าใจกลุ่มที่ศึกษามากขึ้น และทำให้ครูจัดปรับเข้าไปกับการสอนของครูได้
หรือเห็นผลชัดถึงผลการเรียนรู้ของนักเรียน (หรือทั้งสองอย่าง)
ซึ่งจะทำให้ครูมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า
วิจัยเชิงปฏิบัติการมีค่าควรแก่การลงทุนเวลาและพลังงาน ความเชื่อ
และเจตคติต่อการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ครูได้ลองด้วยตนเอง
2.
รับทราบว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการที่สามารถดำเนินการได้
ไม่มีผลกระทบทางลบต่อชีวิตส่วนตนและชีวิตทางวิชาชีพ ตัวอย่าง เช่น
ครูมีงานมากมายต้องทำ และไม่มีเวลาพอที่จะทำวิจัยแยกต่างหากจากงานสอนปกติได้
กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เสนอ ในหนังสือนี้
ให้กรอบที่เป็นระบบซึ่งสามารถประยุกต์เข้ากับงานสอนประจำวันของท่านได้
การลงทุนด้านเวลา ทำให้ท่านเรียนรู้ว่า
การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างไรถึงจะได้ผลคุ้มค่า การบวนการอาจให้ผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึง
กล่าวคือ การะบวนการให้โอกาสท่านทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งมีประเด็นปัญหาเดียวกัน
หนังสือนี้จะใช้แหล่งข้อมูลมากมายที่มีอยู่จริงในชั้นเรียนที่อยู่ในโรงเรียนของท่านจะให้รูปแบบที่สามารถร่วมคิดกับเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งกำลังปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนในชั้นเรียนของเขาเองด้วย
3.
ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน
ครูนักวิจัยอื่นเป็นพี่เลี้ยงให้ นอกจากศึกษาทฤษฎี
สังเกตการณ์สาธิตและลงมือปฏิบัติ
โดยมีการป้อนกลับเป็นตัวช่วยให้ครูสามารถพัฒนาทักษะถึงขั้นที่สามารถใช้รูปแบบได้อย่าคล่อง
เพราะลำพังการพัฒนาทักษะไม่รับรองการถ่ายดอนทักษาโดยอัตโนมัติ
จำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยงซึ่งเป็นครุนักวิจัยช่วยแนะนำท่าน
จึงจะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้วิจัยเชิงปฏิบัติการตามที่ปรารถนา
ข้อแนะนำต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปไว้กรอบดังนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น