วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เพิ่มเติม การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)


การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)
ความหมายการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537 อ้างใน สมนึก ปฏิปทานนท์, 2550) กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือการวิจัยที่ใช้กระบวนการปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการและวิเคราะห์วิจารณ์ผลการปฏิบัติ จากการใช้วงจร4 ขั้นตอนคือ การวางแผน การลงมือกระทำ การสังเกตและการสะท้อนการปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องกันไป ผลที่ได้นำไปปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริง หรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมนึก ปฏิปทานนท์ (2550) กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นการวิจัยที่มุ่งจะนำหลักการของวิธีการทางวิทยาสาสตร์มาใช้เพื่อแก้ปัญหาในสภาพการณ์เฉพาะ เน้นการวิจัยที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในการทำงานจริงๆ
กิตติพร  ปัญญาภิญโญผล (2549) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึงการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบถึงการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานเอง เพื่อเข้าใจดีขึ้น หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งได้จากการรวบรวมการร่วมมือ การสะท้อนตนเองและการใช้วิจารณญาณภายใต้กรอบจรรยาบรรณที่ยอมรับกัน
กรมส่งเสริมการเกษตร (2551) การวิจัยปฏิบัติการ คือ การวิจัยประยุกต์แบบหนึ่ง เป็นการวิจัยที่สะท้อนผลการปฏิบัติงานของตนเองเป็นวงจรแบบต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด โดยเริ่มต้นที่ขั้นตอนการวางแผน การปฏิบัติการสังเกต และการสะท้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
Lewin (1946 อ้างใน ยาใจ พงษ์บริบูรณ์, 2552) กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือการวิจัยที่ใช้กระบวนการศึกษาในลักษณะกลุ่มรวมกันทำงานและตัดสินใจ อย่างมีพันธะต่อกันเพื่อมุ่งมั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และใช้การปฏิบัติการ 3 ขั้นตอน คือการวางแผน การปฏิบัติการ และการสะท้อนผลการปฏิบัติ
Johnson, C.S. และ Kromann-Kelly (1995 อ้างในสุวิมล ว่องวาณิช, 2551 ) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และตีความหมายโดยมีแผนงานกำหนดและแลกเปลี่ยนผลกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ กระบวนการวิจัยปฏิบัติการต้องตอบคำถาม5 ข้อ ดังต่อไปนี้ (1) คำถามที่ต้องการศึกษาคืออะไร (2) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง (3) ข้อมูลที่ต้องจัดเก็บคืออะไร (4)จะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร และ (5) จะแปลความหมายนั้นว่าอย่างไร การตอบคำถามเหล่านี้ต้องใช้เวลาวางแผน และในทุกขั้นตอนต้องอภิปรายกับเพื่อนร่วมงาน
Zuber-Skerritt, O. (1996 อ้างในสุวิมล ว่องวาณิช, 2551) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรต่อเนื่อง 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวางแผนกลยุทธ์ (2) การปฏิบัติ (นำแผนไปปฏิบัติ) (3) การสังเกต (โดยมีการประเมินตนเอง) และ (4)  การสะท้อนผลเชิงวิพากษ์จากตนเองและเพื่อนร่วมงานในผลที่ได้จากขั้นตอนที่ 1-3 จากนั้นมีการทำงานในวงจรรอบที่ 2 โดยมีการปรับแผนการทำงาน แล้วนำไปปฏิบัติ ทำการสังเกตผลที่เกิดขึ้นและสะท้อนผลเพื่อปรับปรุงต่อไป
Dick, B. (2000 อ้างใน สุวิมล ว่องวาณิช, 2551) กล่าวว่าการวิจัยปฏิบัติการ ประกอบด้วยวิธีวิทยาการการวิจัยที่ทำให้เกิดผลของการปฏิบัติ และผลของการวิจัย ในเวลาเดียวกัน โดยมีขั้นตอนการวิจัยที่เป็นวงจรต่อเนื่อง ประกอบด้วยผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการ ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นข้อความที่เป็นภาษามากกว่าตัวเลข นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนผลซึ่งครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นกระบวนการและผลลัพธ์ การวิจัยปฏิบัติการจึงเป็นกระบวนการที่มีความยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งนี้ Dick มีความเห็นว่าการวิจัยปฏิบัติการเป็นการวิจัยที่มีการสร้างสมมติฐานการวิจัยจากข้อมูลที่รวบรวมได้ระหว่างการทำวิจัย และสามารถใช้กระบวนการดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำหรับการวิจัยนำร่อง การนำไปใช้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยจุดบกพร่องต่างๆ หรือใช้เพื่อการประเมินผล อย่างไรก็ตาม Dick เห็นว่าการมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องมีตลอดการวิจัย อาจให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมเพียงแค่ผู้ให้ข้อมูล ลักษณะสำคัญ
จากการศึกษาแนวคิดของนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีต่อความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ สามารถสรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฎิบัติการ คือ การศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และตีความหมายอย่างมีระบบ และยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะ ถึงการปฏิบัติงานเพื่อเข้าใจดีขึ้น หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ ของผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรต่อเนื่อง 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวางแผนกลยุทธ์ (2) การปฏิบัติ (นำแผนไปปฏิบัติ) (3) การสังเกต (โดยมีการประเมินตนเอง) และ (4)การสะท้อนผลเชิงวิพากษ์จากตนเองและเพื่อนร่วมงาน ผลที่ได้นำไปปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริง หรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบจรรยาบรรณที่ยอมรับกัน
ทฤษฎีพื้นฐานของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
Mills (2003 อ้างใน กิตติพร  ปัญญาภิญโญผล, 2549) กล่าวถึงทฤษฎีและปรัชญาที่เป็นฐานสำคัญของการปฏิบัติของนักวิจัย มีความแตกต่างหลากหลายขึ้นกับรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของนักวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งจัดเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ใช้ทฤษฎีเป็นฐาน (critical or theory-based) และประเภทที่ใช้การปฏิบัติการเป็นฐาน (practical based) นั่นคือ Mills จัดว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐาน (critical action research) และวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ปลดปล่อยอิสระจากการครอบงำของกรอบ (emancipatory action research) โดยรวมประเภทที่ 1 และประเภทที่ 3 ดังที่กล่าวข้างต้นเป็นกลุ่มประเภทเดียวกัน เพราะเป้าหมายหลักเหมือนกัน คือ มีการรวบรวมความรู้ที่ไม่ติดยึดกับกฎเกณฑ์หรือกรอบแบบเดิม ๆ หลักการเหตุผลสำหรับ critical action research ใช้ทฤษฎีเป็นฐานสำคัญในทางสังคมศาสตร์และทางมนุษยศาสตร์ รวมถึงทฤษฎีของยุคหลังสมัยใหม่ (theories of postmodernism) หรือ technical action  research
            ทฤษฎีเชิงวิพากษ์ (critical theory) ในงานวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือ technical action research ทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่เป็นพื้นฐานร่วมคล้าย ๆ กัน (Kemmis, 1990 อ้างใน กิตติพร  ปัญญาภิญโญผล, 2549) ดังนี้
            1. ความสนใจร่วมกันในกระบวนการของการนำไปสู่การรู้แจ้ง (enlightenment)
            2. ความสนใจร่วมกันในการทำให้แต่ละคนอิสระเสรีจากสั่งการหรือบงการตามแบบเดิม ๆ (สืบทอดตามวัฒนธรรมแบบเดิม ๆ)
            3. การเต็มใจผูกมัดตัวเองเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการทางประชาธิปไตย เพื่อการปฏิรูปและนอกจากนี้รากเหง้าในทฤษฎีเชิงวิพากษ์ของทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เป็นที่มาของวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐาน ซึ่งมาจากทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่ (postmodernism) ที่เรียกร้องความเป็นจริง (truth) และความเป็นปรนัย (objectivity) ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบเดิม แทนที่จะเรียกร้องข้อเท็จจริง (fact) กลุ่มยุคหลังสมัยใหม่ให้ข้อโต้แย้งว่าความเป็นจริง (truth) มักเกี่ยวข้องเสมอกับสิ่งอื่น ๆ เช่น เงื่อนไข สถานการณ์ และความรู้ที่ได้มักเกิดจากความเจริญงอกงามที่เป็นผลพอกพูนขึ้นจากประสบการณ์เดิม
           ดังนั้น ทัศนะของยุคหลังสมัยใหม่ได้คำนึงถึงความห่วงใยดังกล่าวเหล่านี้ โดยสนับสนุนให้การวิจัยตั้งอยู่บนข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการมีอยู่ของความเป็นจริง (truth) เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ๆ ไม่ว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ และยังขึ้นกับประสบการณ์เดิมด้วย ดังนั้นเพียงจัดทำให้วิจัยเชิงปฏิบัติการดำเนินการในสถานที่นั้นๆเอง จึงจะน่าจูงใจและตรงมากกว่าและที่สำคัญคือผลข้อค้นพบที่ได้มานั้นมีความหมายสำหรับผู้มีส่วนร่วมเอง
            ทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่ได้ผลักดันให้ศึกษาและตรวจสอบถึงกลไกของการผลิตความรู้ และตั้งคำถามถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่เป็นฐานสำคัญของชีวิตสมัยใหม่ นั่นคือ มีการผลักดันให้ “ตรวจสอบสิ่งที่มีอยู่ตามปกติประจำวันในกิจกรรมส่วนบุคคล กิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมทางวิชาชีพ” (Stringer, 1996 อ้างใน กิตติพร  ปัญญาภิญโญผล, 2549) วิจัยเชิงปฏิบัติการให้วิธีการที่ทำให้เราสามารถนำไปใช้เพื่อการตรวจสอบและได้ตัวแทนประสบการณ์ของผู้วิจัย ซึ่งสร้างตามบริบทและการเมือง
            คุณค่าของวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ใช้การวิพากษ์เป็นฐานคือ การทำให้วิจัยทางการศึกษาตอบสนองต่อสังคม รวมถึงลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
            1. ความเป็นประชาธิปไตย ช่วยการมีส่วนร่วมของกลุ่มคน
            2. ความเสมอภาค รับทราบถึงคุณค่าของความเท่าเทียม
            3. ความมีอิสรภาพหรือเสรีภาพหรือความเสมอภาพ ให้มีอิสรภาพจากการถูกกดขี่พ้นจากสภาพความหดหู่ หมดกำลังใจ
            4. การส่งเสริมสนับสนุน ช่วยส่งเสริมให้คนแสดงออกอย่างเต็มศักยภาพในขณะเดียวกัน วิธีการของการใช้ทฤษฎีวิพากษ์เป็นฐานนั้นถูกวิจารณ์ว่าขาดความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติ (Hammersley, 1993 อ้างใน กิตติพร  ปัญญาภิญโญผล, 2549) ซึ่งถือว่าไม่สำคัญนักเพราะวิจัยเชิงวิพากษ์ช่วยค้นหาหรือช่วยแก้ปัญหาซึ่งใช้เป็นวิธีการสำหรับครูได้ผูกมัดตนเอง โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการค้นหาความสัมพันธ์ และ   พร้อม ๆ กับปฏิบัติงานในวิชาชีพของครูเองด้วย
            ส่วนวิจัยอีกประเภทหนึ่ง คือ วิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นการปฏิบัติเป็นฐาน (practical action research) โดยวิจัยเชิงนี้เน้นหนักไปที่วิธีการดำเนินการกับกระบวนการของวิจัยเชิงปฏิบัติการ และให้น้ำหนักน้อยกับ “ปรัชญา” โดยตั้งสมมติฐานว่าครูแต่ละคนหรือแต่ละทีมมีอิสระในตัวเองในการกำหนดเรื่องที่ต้องการศึกษา นักวิจัยผูกมัดกับการพัฒนาทางวิชาชีพครูปรับปรุงการเรียนการสอน ปรับปรุงโรงเรียน และนักวิจัยต้องสะท้อนงานที่ปฏิบัติอย่างมีระบบท้ายที่สุดเชิงปฏิบัติการประเภทนี้มีทัศนะว่า นักวิจัยเป็นผู้ตัดสินใจเลือกกำหนดประเด็นที่ต้องการวิจัย ตัดสินใจเองว่าจะใช้เทคนิคอะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล และพัฒนาแผนการปฏิบัติที่ขึ้นกับผลข้อค้นพบ
ความสำคัญและความจำเป็นของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
สุวิมล  ว่องวานิช(2547:24)ได้กล่าวว่าความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ
            1. ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทำวิจัย การประยุกต์ใช้การตระหนักถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ดีขึ้น
            2. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผลการทำงาน
            3. เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ โดยตรง เนื่องจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ
            4. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยในทีทำงานซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ และการแก้ปัญหา
            5. เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติในการวิจัยให้กระบวนการวิจัยมีความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดยอมรับในความรู้ของผู้ปฏิบัติ
            6. ช่วยตรวจสอบวิธีการทำงานของครูที่มีประสิทธิผล
            7. ทำให้ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
การวางแผนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน
            การวางแผนวิจัยเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ (1) การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเพื่อตั้งข้อสงสัย (2) การตั้งคำถามวิจัยที่มีความเฉพาะเจาะจงมีความเป็นรูปธรรม และเป็นคำถามที่วิจัยได้ (3) การกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา (4) การออกแบบการวิจัยสำหรับเป็นแนวทางในการศึกษาเพื่อให้ได้คำตอบก่อนที่จะนำแผนปฏิบัติการปฏิบัติจริง (5) การเตรียมแผนสู่การปฏิบัติ (ผ่องพรรณ : 2544)
1. การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
            สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน  คือ  ปรากฎการณ์หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในห้องเรียนหรือสิ่งที่เกิดกับผู้เรียนซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลให้การเรียนการสอนไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด สิ่งที่สังเกตเห็นดังกล่าวจะนำไปสู่การกำหนดข้อสงสัยว่า “มีอะไรเกิดขึ้น” สิ่งนั้นนั้นก็ให้เกิดปัญหาอย่างไร”ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”ทำไมจึงไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น”ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง” ข้อสงสัยที่กำหนดในลักษณะคำถามที่กว้างนี้ทำให้รูเกิดความสนใจที่จะค้นหาคำตอบ และ ทำ การศึกษาเพื่อให้ตนเองมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
            การวิเคราะห์สภาพปัญหาในห้องเรียนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ครูแต่ละคนต้องทำการสำรวจหรือศึกษาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องเรียน สิ่งนั้นเป็นปัญหาหรือไม่ และหากสภาพที่เกิดขึ้นในห้องเรียนแสดงถึงปัญหาหลายประการที่ต้องการการแก้ไข ครูก็จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหาเหล่านั้น
              1.1. ประเด็นในการวิเคราะห์สภาพปัญหา
ครูนักวิจัยควรตั้งคำถามกับตนเองหลังจากสังเกตเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนที่ตนเองรับผิดชอบ
              1.2. การตัดข้อสงสัย
ครูต้องเป็นคนช่างสังเกต แล้วสะท้อนสิ่งที่สังเกตเห็น ตั้งเป็นข้อสงสัยโดยการถาม ตนเอง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
   1. คุณมีข้อสงสัยอะไรบ้างเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียนของคุณ
   2. สิ่งที่ทำให้คุณสงสัยว่าเป็นปัญหาในชั้นเรียนของคุณเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระหรือการจัดการเรียนการสอน
   3. ลักษณะอะไรบ้างในการเรียนรู้ของของนักเรียนที่คุณอยากทำความเข้าใจให้ดีขึ้น
   4. ลักษณะของการสอนอะไรบ้างที่เป็นปัญหาของคุณ และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
   5. คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการสอนของคุณ และเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งคุณต้องการตรวจสอบ
2. การตั้งคำถามวิจัย
คำถามวิจัย เป็นการกำหนดประเด็นข้อสงสัยที่ต้องการค้นหาคำตอบโดยมักเขียน
อยู่ในรูปประโยคที่เป็นคำถาม ที่มีความเฉพาะเจาะจง สามารถสังเกตสำรวจและศึกษาวิจัย ได้
   2.1. เกณฑ์การกำหนดคำถามวิจัย
1. การตั้งคำถามที่ดี ไม่ควรใช้คำถาม YES/NO แต่ควรใช้ “ทำไมอย่างไร   อะไร”
2. มีความน่าสนใจจะศึกษาหรือควรนำมาศึกษาเพื่อช่วยนักเรียนที่มีปัญหา
3. คำถามวิจัยนั้นมีความสำคัญทั้งต่อตัวครูผู้สอนละผู้เรียน
4. คำถามวิจัยนั้นสามารถจัดการให้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้วิจัยได้และสามารถตัดสินใจทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
5. คำถามวิจัยนั้นมีความเป็นไปได้ในการทำ เหมาะสมกับเวลา ทรัพยากรในช่วงแรกควรคิดถึงการทำวิจัยในประเด็นเล็กๆ (small scale) ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถดำเนินการจนสำเร็จ
6. หลีกเลี่ยงปัญหาวิจัยที่ครูหรือผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถทำอะไรได้แม้ทราบคำตอบ สรุปการคัดเลือกคำถามวิจัยทำควรมีการถามคำถามต่อไปนี้
1. ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร
2. ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของใคร
3. ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อใครและอะไรบ้าง
4. ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความสำคัญระดับใด เมื่อเทียบกับปัญหาอื่นปัญหาใดสำคัญกว่า
5. ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปัญหาหรือเหตุการณ์อื่นๆอะไรบ้างอย่างไร
6. ใครคือผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และ
    การแก้ไขปัญหานั้นต้องเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่อย่างไร
2.2. การใช้ประโยชน์จากผลการวิเคราะห์สภาพปัญหา
            ผลที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพปัญหานี้นำไปสู่การกำหนดคำถามวิจัยที่สอดคล้องกับสภาพกรณืที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ทำให้ผู้วิจัยสามารถตัดสินใจในการวางแผนการวิจัย
            1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นนำไปสู้การกำหนดคำถามวิจัยได้หลายคำถามที่ไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์สภาพปัญหาจะทำให้ทราบว่าคำถามวิจัยใดมีความสำคัญที่สุดหรือเร่งด่วนที่สุดต้องนำมาหาคำตอยก่อน
            2. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดกับนักเรียนทั้งห้องเรียนหรือเกิดกับนักเรียนบางคน การวิเคราะห์สภาพปัญหาทำให้ผู้วิจัยตัดสินใจได้ว่ากลุ่มเป้าหมายของการศึกษาครั้งนั้นคือใคร
            3. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นบางครั้งครูคนเดียวก็แก้ไขไม่ได้ ต้องอาศัยเพื่อนครูคนอื่น หรือ ผู้เกี่ยวข้อง หรือนักวิชาการภายนอกมาร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาดังนั้น ครูผู้ที่กำลังทำวิจัยจะมีข้อมูลตัดสินใจว่าในการวิจัยนั้นสมควรใช้รูปแบบวิจัยใด จำเป็นต้องเชิญบุคคลภายนอกที่มีความชำนาญมาช่วยให้คำแนะนำหรือไม่ เช่น การใช้รูปแบบจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหากครูไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ก็ต้องระดมความคิดจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด การวิจัยที่เหมาะสมสำหรับกรณีนี้ ก็จะเป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบร่วมมือ        
4. ในบางคำถามวิจัยจำเป็นต้องแก้ไขในระดับกว้างหรือทำในระดับโรงเรียนไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้ในชั้นเรียนนั้น หรือห้องเรียนนั้น เช่น ปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์ หารผู้เรียนมีพื้นฐานอ่อนอันเนื่องมาจากจัดกระบวนการเรียนรู้ก่อนหน้านั้น การแก้ไขเฉพาะรายบุคคลไม่ได้ขจัดต้นเหตุของปัญหาให้หมดไปได้ อาจจำเป็นต้องแก้ไขโดยปฏิบัติการรูปการเรียนรู้เกี่ยวกับการสอนคณิตศาสตร์ใหม่ทั้งหมดลักษณะของการวิจัยจึงน่าจะเป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบทำในระดับโรงเรียน 
                                    1. คำถามนั้นมีความสำคัญกับคุณเพียงใด
                                    2. คำถามนั้นเกิดประโยชน์ต่อนักเรียนเพียงใด
                                    3. โอกาสในการสำรวจข้อมูลมีมากน้อยเพียงใด
                                    4. ใครบ้างที่สามารถช่วยในการทำวิจัยนี้ได้
                                    5. คุณสามารถจัดการเรื่องเวลาในการวิจัยเรื่องนั้นมากน้อยเพียงใด
2.3. ระดับของคำถามวิจัย
           1. การวิจัยระดับที่หนึ่ง (fist-order research) เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า “ใครทำอะไร”ได้ผลอย่างไร”ดังตัวอย่าง
            นักเรียนมีความก้าวหน้าเพียงใดหลังจากใช้กิจกรรมการฟังแบบที่ครูนำมาทดลองใช้กิจกรรมแบบใดให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
         2. การวิจัยระดับที่สอง (Second-order research) เป็นคำถามศึกษาวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า “คนรับรู้สิ่งที่ตนเองทำอย่างไร” (ศึกษาความคิดของคนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น) ผลกระทบของการชมเชยมีผล อย่างไรต่อความเคลื่อนไหลของกลุ่ม (ทำให้เข้าใจมุมมองของนักเรียนว่ารู้สึกอย่างไรต่อ การชมเชย และ การชมเชยมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้เป็นใด)
         3. วิธีการทำให้ได้คำถามวิจัยที่ดี
                        การตั้งคำถามวิจัยที่ดีได้ต้องอาศัยกระบวนการต่อไปนี้
1. ฝึกเป็นคนช่างสังเกต
2. สร้างนิสัยรักการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับปัญหาของนักเรียนและการแก้ไขปัญหา
3. ฝึกตั้งข้อสงสัยและตั้งคำถามวิจัย ลองทดลองตั้งคำถามและคาดเดาคำตอบ
4. หาเวลาสะท้อนความคิดกับเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความคิดของตนเอง โดยเฉพาะความสมเหตุสมผลของคำถามวิจัย
5. สามารถปรับคำถามวิจัยระหว่างการเรียนการสอนให้ เหมาะสมกว่าเดิมได้(ถ้าจำเป็น)
4. เกณฑ์การเลือกคำถามวิจัยมาศึกษา
ในการเลือกคำถามวิจัยมาศึกษา ผู้วิจัยต้องเลือกโดยมีหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1.  ปัญหาของนักเรียนทุกคนต้องได้รับความสนใจจากครูในการแก้ไขอย่างเท่าเทียมกัน
2. ผลการวิจัยของครูต้องเกิดประโยชน์กับชั้นเรียนหรือโรงเรียน
3. คำถามวิจัยที่เลือกมาศึกษาต้องคำนึงถึงจริยธรรมของการวิจัย ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใด
4. คำถามวิจัยนั้นสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องเก็บใหม่จนกระทบ


การเรียนการสอน ก็ควรวางแผนให้เหมาะสม
ตัวอย่างของประเด็นการวิจัยที่มีความเหมาะสม
            1. ฉันต้องการพัฒนาคุณภาพของทักษะการเขียนเป็นภาษาอังกฤษ จะสามารถทำได้อย่างไร
            2. ถ้ามีวิธีการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอยู่เสมอ วิธีควรใช้วิธีใดจึงจะเหมาะสมกว่ากัน
            3. ฉันอยากนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช่ในการสอนคอมพิวเตอร์ จะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีดังกล่าวได้ผลหรือไม่
            4. ทำไมนักเรียนไม่คอยสนใจ มีวิธีสร้างนิสัยดังกล่าวอย่างไร
            5. จะทำให้นักเรียนรู้โทษของยาเสพติด และหลีกเลี่ยงจากยาเสพติดอย่างไร
ตัวอย่างของประเด็นที่ความเหมาะสมน้อยกว่า
            1. นักเรียนที่ขาดโรงเรียนมีภูมิหลังทางครอบครัวอย่างไร
            2. จำนวนนักเรียนที่มีครอบครัวแตกแยกมีเท่าใด
            3. สาเหตุอะไรที่ทำให้นักเรียนมาสาย
            4. นักเรียนที่มาสายมีจำนวนเท่าใด
            5. ความสัมพันธ์ระหว่างเวลามาโรงเรียนกับเด็กที่พ่อแม่หย่าร้างมีลักษณะเช่นใด
            6. ปริมาณของเวลาที่เด็กใช้ในชั้นเรียนสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่
            7. ทำไมนักเรียนเอาอุปกรณ์มาไม่ครบ
โปรดสังเกตว่าคำถามหรือประเด็นการวิจัยในกลุ่มหลังมีความเหมาะสมน้อยกว่ากลุ่มแรกเนื่องจากข้อค้นพบที่ได้ ไม่ได้มีส่วนปรับปรุงแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นเท่าที่ควรนอกจากนี้หลายคำถามก็มีคำตอบในเชิงทฤษฎีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาซ้ำ เช่น คำถามวิจัยข้อ 1-2 ซึ่งเป็นคำถามที่เกี่ยวกับภูมิหลังทางครอบครัวของนักเรียน การรู้สถิติของนักเรียนที่ทีครอบครัวแตกแยก จะเกิดประโยชน์ต่อนักเรียนค่อนข้างน้อย การรู้ว่านักเรียนที่มีพ่อแม่แตกแยกจะส่งผลต่ออัตราการมาโรงเรียนของนักเรียนหรือการเรียนของนักเรียน ก็ไม่สามารถช่วยอะไรไก้มากนัก คำถามประเภทนี้ เป็นคำถามที่แม้จะรู้คำตอบแล้วครูก็ไม่มีบทบาทมากในการเข้าไปแก้ไขและไม่ใช่หน้าที่ของครูที่จะเข้าไปทำให้พ่อแม่ของนักเรียนคืนดี ข้อมูลแบบนี้โรงเรียนจำเป็นต้องมีการจัดเก็บเพื่อให้เข้าใจในสภาพของนักเรียน แต่ไม่ใช้นำมากำหนดเป็นคำถามการวิจัยหลัก คำถามวิจัยที่น่าจะเป็นประโยชน์มาก คือ ครูจะมีวิธีอย่างไรในการแก้ไขปัญหาด้านการเรียนสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาทางบ้าน และวิธีที่นำมาใช้ได้ผลเพียงใด
3. การกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา
            คำถามการวิจัยหลายคำถามเป็นเพียงการทำวิจัยเพื่อนสำรวจสภาพที่เกิดขึ้นในห้องเรียนบางคำถามเป็นคำถามที่มุ่งเน้นการอภิปรายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คำถมส่วนใหญ่มุ่งเน้นการหาวิธีการแก้ปัญหา

3.1 สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
                        สิ่งที่เป็นปัญหาของครู การคิดหาวิธีการแก้ปัญหา การกำหนดสิ่งทดลองเพื่อใช้ในการจัดการเรียนดารสอน หลายครั้งที่ครูกำหนดปัญหาวิจัยว่า แต่หาวิธีแก้ไขไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถหา “อะไร” ไปทดลองใช้ได้ ครูมักตั้งถามวิจัยว่า “ทำไมนักเรียนจึงมีข้อบกพร่องด้านการอ่าน”ทำไมนักเรียนจึงเขียนสะกดคำไม่ได้” การตั้งคำถามแบบนี้ทำให้ได้คำตอบสาเหตุของปัญหา ซึ่งครูสามารถวิเคราะห์ได้จากพฤติกรรมของนักเรียน และพฤติกรรมการสอนของครู คำถามวิจัยแบบนี้มีประโยชน์ระดับหนึ่ง แต่จะไม่สามารถแก้ปัญหาวิจัยได้เลย หากครูไม่ตั้งคำถามวิจัยต่อว่า “วิธีแก้ปัญหานักเรียนที่มีข้อบกพร่องการอ่านคืออะไร”วิธีแก้ปัญหาได้ผลหรือไม่อย่างไร”ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนจากการใช้วิธีดังกล่าวคืออะไร”
3.2. วิธีการแก้ปัญหา
            แนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้ มีดังนี้
1. ครูต้องอ่านมาก ติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวิทยาการด้านการสอนให้มาก
2. ครูต้องมีการรวมกลุ่มกัน และหาโอกาสอภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการสอนใหม่ๆ
3. ต้องมีการสำรวจข้อมูลและจัดระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการเรียนรู้ เทคนิคการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความหลากหลาย แต่ที่ผ่านมาไม่มีการจัดระบบฐานข้อมูลหรือเผยแพร่เทคนิคดังกล่าวอย่างจริงจังตัวอย่างเทคนิคการสอนมีเล็กน้อย และไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
4. การจัดตั้งเครือข่ายการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research Network) โดยเป็นศูนย์กลางของการเก็บรวบรวมผลการวิจัย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวทางการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน แล้วจัดทำเป็นฐานข้อมูลระดับชาติสมมติหน่วยงานหนึ่งมีฐานข้อมูลนั้นจำทำให้เห็นวิธีการต่างๆจากครูที่สอนเด็กเล็กที่เสนอมายังเครือข่ายดังกล่าวเป็นพันเป็นหมื่นเรื่อง งานวิจัยดังกล่าวเมื่อนำมาสังเคราะห์จะสามารถสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับความรู้การสร้างนิสัยการดื่มนมที่ได้ผล
5. รวบรวมวิธีการการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน จะมีการแสดงตัวอย่างของวิธีการต่างๆที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนอย่างเป็นหมวดหมู่ จะทำให้ครูเกิดความคิดที่จะดัดแปลงหรือคัดเลือกวิธีการที่ต้องนำไปใช้ ต้องมีตัวอย่างที่นำเสนอวิธีการหลากหลายในการแก้ปัญหาเดียวกัน  ไม่ควรนำเสนอตัวอย่างเดียว เพราะอาจทำให้เกิดการลอกเลียน และเป็นการกำจัดความคิดครูซึ่งนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังส่งผลเสียได้
            การที่จะผนวกกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการเข้าไปทำพร้อมๆกับการเรียนการสอนตามปกติประจำวันควรคำนึงสิ่งต่อไปนี้
            1.  ลองใช้กระบวนการจริงและทำให้เกิดความมั่นใจว่า การลงทุนด้านเวลาเละพลังกาย-ใจ ที่ใส่ลงไปคุ้มค่ากับผลลัพธ์ ขั้นแรก ดำเนินโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่มีความหมายกับครูคือตัวท่านเอง และตรงกับความต้องการของนักเรียน เมื่อสิ้นสุดโครงการครูจะพบว่า ครูเข้าใจกลุ่มที่ศึกษามากขึ้น และทำให้ครูจัดปรับเข้าไปกับการสอนของครูได้ หรือเห็นผลชัดถึงผลการเรียนรู้ของนักเรียน (หรือทั้งสองอย่าง) ซึ่งจะทำให้ครูมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า วิจัยเชิงปฏิบัติการมีค่าควรแก่การลงทุนเวลาและพลังงาน ความเชื่อ และเจตคติต่อการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ครูได้ลองด้วยตนเอง
            2.  รับทราบว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการที่สามารถดำเนินการได้ ไม่มีผลกระทบทางลบต่อชีวิตส่วนตนและชีวิตทางวิชาชีพ ตัวอย่าง เช่น ครูมีงานมากมายต้องทำ และไม่มีเวลาพอที่จะทำวิจัยแยกต่างหากจากงานสอนปกติได้ กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เสนอ ในหนังสือนี้ ให้กรอบที่เป็นระบบซึ่งสามารถประยุกต์เข้ากับงานสอนประจำวันของท่านได้ การลงทุนด้านเวลา ทำให้ท่านเรียนรู้ว่า การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างไรถึงจะได้ผลคุ้มค่า การบวนการอาจให้ผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึง กล่าวคือ การะบวนการให้โอกาสท่านทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีประเด็นปัญหาเดียวกัน หนังสือนี้จะใช้แหล่งข้อมูลมากมายที่มีอยู่จริงในชั้นเรียนที่อยู่ในโรงเรียนของท่านจะให้รูปแบบที่สามารถร่วมคิดกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งกำลังปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนในชั้นเรียนของเขาเองด้วย
            3.  ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน ครูนักวิจัยอื่นเป็นพี่เลี้ยงให้ นอกจากศึกษาทฤษฎี สังเกตการณ์สาธิตและลงมือปฏิบัติ โดยมีการป้อนกลับเป็นตัวช่วยให้ครูสามารถพัฒนาทักษะถึงขั้นที่สามารถใช้รูปแบบได้อย่าคล่อง เพราะลำพังการพัฒนาทักษะไม่รับรองการถ่ายดอนทักษาโดยอัตโนมัติ จำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยงซึ่งเป็นครุนักวิจัยช่วยแนะนำท่าน จึงจะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้วิจัยเชิงปฏิบัติการตามที่ปรารถนา ข้อแนะนำต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปไว้กรอบดังนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับบล็อก

นางสาว พัชรินทร์ ปิ่นทอง 613150610194 ชั้นปีที่ 2 ห้อง 1 สาขาวิชา ภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ภาคเรียนที่ 1 ปีกา...